"แผ่นดินนี้ แม่ของลูก ใช้ปลูกข้าว กี่แสนก้าว ที่เดินซ้ำ ย่ำหว่านไถ บำรุงดิน จนอุดม สมดังใจ หวังนาไทย เป็นของไทย ไปนิรันดร์"ทั้งนี้สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ จะนำคำขวัญนี้ไปเผยแพร่ลงหนังสือ วันแม่แห่งชาติ ปี 2553 และจะกระจายให้พสกนิกรชาวไทย ได้ร่วมน้อมนำไปปฏิบัติ และเทิดพระคุณแม่ พร้อมกันทั่วประเทศ
ส่วนความเป็นมาของ วันแม่ นั้น กล่าวกันว่า ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยนางแอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟียเป็นผู้เรียกร้องให้มีขึ้น และต้องใช้ความพยายามร่วมสองปีจึงประสบผลสำเร็จ ซึ่งในปีพ.ศ. ๒๔๕๗ ประธานาธิบดีวู้ดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือเอาวันอาทิตย์ที่ ๒ ของเดือนพฤษภาคมเป็น วันแม่แห่งชาติ และใช้ ดอกคาร์เนชั่น เป็นสัญลักษณ์วันแม่ โดยมี ๒ แบบคือ ถ้าแม่มีชีวิตอยู่ ให้ใช้ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ใช้ดอกคาร์เนชั่นสีขาว
สำหรับประเทศไทย มีการจัดงานวันแม่ครั้งแรก โดยกระทรวงสาธารณสุข เมื่อ ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๘๖ ที่สวนอัมพร แต่เนื่องจาก ช่วงดังกล่าวเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทำให้ต้องงดจัดในปีต่อไป และต่อมาแม้จะมีหลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นจัดขึ้นอีก แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร รวมทั้งได้มีการเปลี่ยนแปลงกำหนด วันแม่ หลายครั้ง
จนเมื่อวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๙๓ คณะรัฐมนตรีสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี จึงได้มีประกาศรับรองให้ วันที่ ๑๕ เมษายนของทุกๆปี เป็น วันแม่ โดยเรียกว่า วันแม่แห่งชาติ และมอบหมายให้สภาวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นผู้จัดงานเมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๓ เป็นครั้งแรก และได้รับความสำเร็จด้วยดี มีประชาชนและหน่วยงานต่างๆให้การสนับสนุนจัดงานกันอย่างกว้างขวาง
ตั้งแต่นั้นมา และยังมีการประกวดแม่แห่งชาติ และคำขวัญวันแม่ เพื่อให้เกียรติและเพิ่มความสำคัญของงานวันแม่ให้ยิ่งๆขึ้นไปด้วย
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๑๙ ทางราชการจึงได้เปลี่ยนใหม่ โดยให้ถือว่าวันที่ ๑๒ สิงหาคม อันเป็น วันเฉลิมพระชนมพรรษาของ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็น วันแม่แห่งชาติ และกำหนดให้ใช้ ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์วันแม่ ตั้งแต่นั้นมา


0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น